ย้อนกลับไปดูการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ยุคเข้าถึงผ่านการเชื่อมต่อแบบ dial-up บนเดสก์ท็อป จนถึงอินเทอร์เน็ตมือถือแบบ 5G และการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีต่างผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โลกดิจิทัลในอนาคตจะต้องเผชิญกับความต้องการที่สูงขึ้นในด้านประสบการณ์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความดื่มด่ำ (Immersive) ความมีส่วนร่วม (Engagement) และการปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล (Personalization) เป็นต้น ขณะเดียวกัน องค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่ง (B2B) ต้องการอินเทอร์เฟซที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้อย่างมากขึ้น ณ ปี 2025 ในปัจจุบัน นักออกแบบ B2B จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการระดับเยี่ยมให้ม่ลูกค้าได้ ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับตัวรับเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ ๆ และให้ความสำคัญกับมูลค่าด้านธุรกิจของลูกค้า รวมทั้งเน้นการใช้งานจริง (Utility) ความครอบคลุม (Inclusiveness) และความสามารถในการปรับแต่ง (Customizability) เราจึงนำประสบการณ์ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ B2B ของ DingTalk ที่มีมาตลอดกว่าทศวรรษ มาผสมผสานกับแนวโน้มการออกแบบ B2B ที่จะแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย (Diversity) ความอัจฉริยะ (Intelligence) และความเป็นมนุษย์นิยม (Humanism) พิจารณาและศึกษาลึกซึ้งขึ้นในหลายมิติ ได้แก่ ความเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์ B2B รูปแบบและเนื้อ质感 รูปแบบโครงสร้างของอินเตอร์เฟซ (Interface layouts) ไอคอน (Icons) และปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิก (Dynamic interaction) เพื่อร่วมกันค้นหาแก่นแท้และแนวโน้มการออกแบบ B2B หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการออกแบบผลิตภัณฑ์ B2B ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก่อเกิดแรงบันดาลใจที่มีประโยชน์บางอย่างในเส้นทางนี้ ในวันนี้เราอยากแบ่งปันกับคุณในประเด็นเรื่องความเฉพาะตัว (Personalization) ที่สามารถสร้างภาพลักษณ์เฉพาะบุคคล ให้มูลค่าทางอารมณ์ และเพิ่มความมั่นใจให้แก่บุคคลได้
ย้อนกลับไปดูการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ยุคเข้าถึงผ่านการเชื่อมต่อแบบ dial-up บนเดสก์ท็อปจนถึงอินเทอร์เน็ตมือถือแบบ 5G และการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีต่างผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โลกดิจิทัลในอนาคตจะต้องเผชิญกับความต้องการที่สูงขึ้นในด้านประสบการณ์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความดื่มด่ำ (Immersive) ความมีส่วนร่วม (Engagement) และการปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล (Personalization) เป็นต้น ขณะเดียวกัน องค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่ง (B2B) ต้องการอินเทอร์เฟซที่มีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้อย่างมากขึ้น ณ ปี 2025 ในปัจจุบัน นักออกแบบ B2B จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการระดับเยี่ยมให้ลูกค้าได้ ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ ๆ และให้ความสำคัญกับมูลค่าด้านธุรกิจของลูกค้า รวมทั้งเน้นเรื่องความใช้งานได้จริง ความครอบคลุม และความสามารถในการปรับแต่ง
ดังนั้นเราจึงนำประสบการณ์ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ B2B ของ DingTalk ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึงสิบปีมารวมไว้ และเนื่องจากแนวโน้มการออกแบบบริการองค์กรในอนาคตจะแสดงลักษณะความหลากหลาย ความฉลาด และมนุษย์นิยม เราจึงนำการออกแบบในหลายด้านเช่น ความเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์ B2B รูปแบบและเนื้อ质感 รูปแบบโครงสร้างอินเตอรืเฟส ไอคอน และปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิกมาศึกษาอย่างละเอียด เพื่อแลกเปลี่ยนและหารือแนวโน้มและการออกแบบพื้นฐานของ B2B ไปด้วยกัน และหวังว่าจะก่อให้เกิดแนวคิดที่เป็นประโยชน์บ้างในเส้นทางของกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ B2B
วันนี้เราจะแบ่งปันแนวโน้มในความเฉพาะตัว (Personalization) ของผลิตภัณฑ์ B2B มาสร้างภาพลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อมอบคุณค่าด้านอารมณ์และความมั่นใจ
ทบทวนสามระยะของการออกแบบ B2B
ระยะตั้งต้น: ความใช้ได้จริงคือแก่นหลักของการออกแบบแบบดั้งเดิมคลาสสิก
ก่อนอื่น เราจะย้อนเวลากลับไปที่ปี 2012 ซึ่งถือเป็นยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต ณ เวลานั้นการออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ไม่ได้มีความหลากหลายอย่างในปัจจุบัน ระบบ B2B หรือที่เรียกว่าแอปพลิเคชันองค์กร มักปรากฏในรูปแบบของไคลเอนต์ ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์เฉพาะไว้ใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากแอปเว็บ (Web application) ในปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ความออกแบบดังกล่าวมีข้อจำกัดทั้งความยืดหยุ่นและความสะดวก ใช้งานได้ยากและยุ่งยาก
ณ ปี 2012 แนวคิดการออกแบบที่ล้ำสมัย เช่น Ant Design, Element และ Semi Design ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเลย โดยรวมแล้วการออกแบบ B2B ในยุคนั้นดูเชยมาก โดยอินเทอร์เฟซของหลายระบบได้รับอิทธิพลจากซอฟต์แวร์และเครื่องมือยอดนิยมในยุคนั้น เช่น Microsoft Office, SAP และ Salesforce แม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในยุคดังกล่าวจะมีฟังก์ชันการทำงานในระดับหนึ่ง แต่อินเทอร์เฟซผู้ใช้ก็ดูยัดเยียดจนขาดความสวยงาม
สาเหตุหลักของการออกแบบรูปแบบนี้ในยุคเริ่มต้น:
1. ข้อจำกัดของเฟรมเวิร์กเทคโนโลยี: ในยุคเริ่มต้นก่อนที่เฟรมเวิร์กและไลบรารีด้าน前端จะสุกงอม นักพัฒนามีทางเลือกทางเทคนิคเพียงไม่กี่ทาง และเครื่องมือหรือเฟรมเวิร์ก (เช่น React, Vue.js, Angular ฯลฯ) ที่เราเห็นได้ในปัจจุบันยังไม่มีมากมายเหมือนทุกวันนี้ ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ นักพัฒนาย่อมทุ่มความสนใจให้กับการทำงานของฟังก์ชันมากกว่าความสวยงามของอินเทอร์เฟซผู้ใช้และประสบการณ์การใช้งาน หลายคนจึงออกแบบมาเพื่อให้ตรงตามความต้องการพื้นฐานเท่านั้น ส่งผลให้การออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ในยุคดังกล่าวดูซ้ำซากและล้าสมัย
2. ความคิดเน้นประโยชน์ใช้สอย : การออกแบบของผลิตภัณฑ์ในยุคนั้น โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ออฟฟิศเช่น Office มักเน้นที่ประโยชน์ที่ได้ใช้มากกว่าความสวยงามของการออกแบบหรือประสบการณ์ผู้ใช้ที่ทันสมัย ซึ่งขาดกรอบแนวคิดและทัศนคติที่เน้นความละเอียดอ่อนหรือความประณีตอย่างการออกแบบยุคใหม่ ส่งผลให้ความคิดการออกแบบส่งออกได้รูปแบบที่ค่อนข้างหยาบและธรรมดา
ระยะพัฒนา: ระบบการออกแบบนำเสนอประสบการณ์ผู้ใช้รูปแบบเรียบง่ายและความเป็นมิตร
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการจัดการและการสัมผัสประสบการณ์ผู้ใช้มากขึ้น การปรากฎตัวของ Fiori และ Salesforce ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างนวัตกรรมในตัวผลิตภัณฑ์เอง แต่ยังจุดประกายให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบในวงการออกแบบ B2B อีกครั้ง องค์กรในอดีตมักเน้นเรื่องการทำงานหลักของระบบ และมองข้ามประสบการณ์ผู้ใช้ที่ได้อันเนื่องมาจากกระบวนการออกแบบ ซึ่ง Fiori และ Salesforce ได้ใช้หน้าตาที่สง่างามและการออกแบบปฏิสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมดึงดูดผู้ใช้ ทำให้องค์กรตระหนักถึงคุณค่าของการออกแบบที่มีต่อผลิตภัณฑ์
ในประเทศจีนเอง ต่อมาได้มีการเปิดตัวระบบออกแบบ Ant Design และ Element เป็นลำดับถัดไป ซึ่งแสดงถึงความยกระดับและการกำหนดมาตรฐานของการออกแบบในผลิตภัณฑ์ B2B ระบบออกแบบเหล่านี้สร้างขึ้นโดยมีภาษาการออกแบบและไลบรารีองค์ประกอบที่ครบวงจร เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแนวโน้มที่ปรากฏในระยะกลาง:
1. ความต้องการภายในองค์กรเพิ่มขึ้น: เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้นและงานหลากหลายมากยิ่งขึ้น ความซับซ้อนของระบบและเครื่องมือภายในยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงเกิดความต้องการใช้ภาษาการออกแบบและความคลังองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและการพัฒนา และเพื่อให้ความสอดคล้องของการออกแบบ
2. การยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้: ระบบออกแบบที่เป็นมาตรฐานสามารถช่วยให้ประสบการณ์ผู้ใช้สอดคล้องกัน ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้นเมื่อต้องใช้งานผลิตภัณฑ์หรือโมดูลต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้
ปัจจุบัน: การออกแบบที่ดีขึ้นจากมนุษยนิยมนำประสบการณ์ที่หลากหลายและเต็มไปด้วยความยืดหยุ่นสู่กลุ่มองค์กร (B2B)
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากความต้องการที่หลากหลายของตลาดและวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยี การออกแบบแนวคิดและรูปแบบต่าง ๆ มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นยุค "เบญจภาคี" (百花齐放) เลยทีเดียว และมีสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น YOZ (有赞), Weimob (微盟), ONES, Coding ไปจนถึง Teams และ Salesforce คุณจะพบกับผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่กำลังมีการพัฒนาประสบการณ์การออกแบบใน B2B ให้ดีขึ้นต่อเนื่อง:
- การผสมสีสันของแบรนด์และรูปแบบเฉพาะตัวในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างจุดจำของผู้ใช้งาน เช่น Teams และ ONES ที่ใช้สีและภาพประกอบด้วยกราฟิกเพื่อยกระดับการจดจำแบรนด์
- การใช้ผลลัพธ์ภาพเคลื่อนไหว (Dynamic effects) และภาพเคลื่อนไหวระหว่างการทำงาน (Transitions animations) ในอินเทอร์เฟซ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน เช่น ระบบปฏิสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มอย่าง Coding และ ONES มีความตอบสนองระหว่างใช้งานที่เป็นธรรมชาติ กระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ได้ดีขึ้น
- โหมดสีเข้ม (Dark mode) ได้รับความนิยมมากขึ้น เพื่อตอบสนองการใช้งานในเวลากลางคืน เช่น YOZ และ Weimob ได้เพิ่มทางเลือกสำหรับการตั้งค่าโหมดสีเข้ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการปรับแต่งผลิตภัณฑ์
- การออกแบบเริ่มคำนึงถึงความสามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) โดยเพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสีที่เหมาะกับผู้มีภาวะตาบอดสี หรือการออกแบบที่ตอบสนองได้ดีบนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น Salesforce ที่ได้ลงทุนอย่างเข้มข้นในด้านนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้ทุกกลุ่มสามารถใช้งานแพลตฟอร์มของตนได้อย่างสะดวก
- แพลตฟอร์มต่าง ๆ เพิ่มความสามารถในการแสดงผลข้อมูลผ่านระบบการนำเสนอแบบกราฟิก (Data visualization) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ตีความข้อมูลได้ชัดเจนมากขึ้น เช่น Weimob และ YOZ ที่มีการนำเสนอข้อมูลในแดชบอร์ดและรายงานด้วยกราฟแบบโต้ตอบได้และภาพประกอบเชิงข้อมูล (Infographics)
โดยรวมแล้ว แนวโน้มการออกแบบ B2B กำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนาในรูปแบบที่สุกงอมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเน้นความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งจากผู้ใช้และองค์กร ในอนาคต การออกแบบ B2B จะต้องปรับให้สอดคล้องกับบริบทใหม่ เทคโนโลยีใหม่ และแนวโน้มใหม่ ๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางธุรกิจของลูกค้าเป็นหลัก
อนาคต: ความเฉพาะตัวกลายเป็นแนวโน้มในการออกแบบ B2B ในยุคแห่งปัจเจก
ยุคของปัจเจกนำทางสู่ยุคใหม่
ในยุคใหม่นี้ ทั้งองค์กรและปัจเจกบุคคลจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากมุมมองขององค์กร เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือกำเนิดขึ้น กระบวนการทำงานร่วมกัน (collaboration) ใหม่ย่อมนำไปสู่กระบวนใหม่ ตั้งแต่กระบวนการทำงานรูปแบบเดิม เช่น อนุมัติ เอกสาร และงานร่วมที่เราคุ้นเคย ไปจนถึงกระบวนการทำงานในรูปแบบใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกกำหนดอย่างชัดเจน ด้วยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ โครงสร้างแบบใหม่ขององค์กรก็กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ซึ่งโครงสร้างใหม่นี้ประกอบด้วยระบบที่แปลกใหม่ ทีมงานที่แปลกใหม่ รูปแบบการทำงานร่วมกันใหม่ และกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ที่เราจะเรียกมันว่า “ซูเปอร์องค์กร (Super Organization) จากมุมมองของปัจเจกบุคคล ซูเปอร์องค์กรช่วยกระตุ้นให้บุคลากรภายในสามารถคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยในยุคที่เราพูดถึงนี้ มาตรฐานสำหรับการตัดสินว่าพนักงานคนใดดีหรือไม่นั้น ไม่ได้คำนึงเพียงแค่เรื่องความรู้หรือคะแนน GPA ที่เคยมีในอดีตอีกต่อไป และเริ่มให้ความสำคัญกับความสามารถในการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ แก้ปัญหาเชิงซับซ้อน และผลักดันการเปลี่ยนแปลง บุคคลคนนี้เราจึงเรียกว่า"ซูเปอร์บุคคล (Super Individual)"
ยุคนี้กำลังเป็นยุคแห่งการกำเนิดของ “ซูเปอร์บุคคล” (Super Individual) ที่ศักยภาพและบทบาทของพวกเขาให้ผลกระทบต่อองค์กรมากกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น องค์กรที่ให้ความสำคัญกับตัวปัจเจกบุคคลเป็นศูนย์กลางและสร้างพลังที่มีประสิทธิภาพสุดยอดนั้น มักเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตของการออกแบบ B2B จะมีลักษณะที่เรียกว่า "B2B เข้าถึงได้เหมือน C2C" หรือ "B2B แบบบริโภค (B2B to Consumer-like)" โดยการออกแบบจะยิ่งเน้นการสนองความต้องการของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้เราจะนำกรณีศึกษาจาก DingTalk มาพิจารณาแนวโน้มการออกแบบ B2B เพื่อชี้ให้เห็นว่าออกแบบให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละรายอย่างไรเพื่อสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้: การรังสรรค์ภาพของแต่ละบุคคล มอบประสบการณ์เชิงอารมณ์ และเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้แต่ละราย
แนวโน้มที่ 1: สร้างภาพลักษณ์เฉพาะตัวของ 'ซูเปอร์บุคคล'
ความสำเร็จขององค์กรไม่ได้กำหนดเพียงแค่กระบวนการที่มีประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันของทีม แต่ยังอยู่ที่เอกลักษณ์และความเฉพาะตัวของสมาชิกทุกคน บุคคลแต่ละคนไม่ใช่เพียงแค่ "ตัวฟันเฟือง" ทั่วไป แต่เป็นบุคคลที่อิสระและเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งผลต่อทีมผ่านภูมิหลัง บุคลิกภาพ และรูปแบบของตนเองที่ต่างกัน เช่น รูปแบบการแต่งกายก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนบุคลิกของพนักงาน ในองค์กรบางแห่ง พนักงานสามารถเลือกแต่งกายได้โดยไม่ต้องมีกฎเกณฑ์การแต่งกายที่เข้มงวด การแต่งกายแบบนี้ไม่เพียงเพิ่มความสบายและความมั่นใจแก่พนักงาน แต่ยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เช่น ดีไซเนอร์ที่สวมเสื้อผ้าสบาย ๆ หรือผู้วิเคราะห์ทางการเงินที่สวมสูทสุภาพ ล้วนสามารถสะท้อนความเฉพาะตัวและลักษณะงานของตนเองด้วยเสื้อผ้าที่แต่งมาให้เข้ากัน ทำให้สภาพแวดล้อมการทำงานหลากหลายและน่าสนใจยิ่งขึ้น
การออกแบบ: รูปภาพโปรไฟล์แบบเคลื่อนไหว
ก่อนหน้านี้ ผู้คนมักมอง DingTalk ว่าเป็นเครื่องมือที่จริงจังและไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ในบริบททางธุรกิจที่เปลี่ยนไป เราต้องการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการแสดงออกของแต่ละบุคคล รูปภาพโปรไฟล์เป็นจุดแรกที่ผู้คนใช้ในการแสดงตัวตน ซึ่งเราแทบจะไม่เห็นผู้ใช้สองคนตั้งค่ารูปภาพโปรไฟล์เหมือนกันเลย เพราะทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงเพื่อส่งเสริมความเฉพาะตัวของแต่ละคน DingTalk จึงออกฟีเจอร์การตั้งค่ารูปภาพโปรไฟล์แบบเคลื่อนไหว (Dynamic Avatar) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้พนักงานสามารถแสดงออกถึงความเฉพาะตัวและความสร้างสรรค์ของตนเองได้มากที่สุด อีกทั้งรูปภาพโปรไฟล์แบบเคลื่อนไหวยังเป็นช่องทางกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพิ่มปฏิสัมพันธ์และเสริมความผูกพันในทีม
การออกแบบ: พื้นหลังในหน้าโปรไฟล์เฉพาะตัว
ถ้าพูดถึงรูปภาพโปรไฟล์ว่าเป็น "ภาพลักษณ์ของตนเอง" แล้ว หน้าโปรไฟล์แบบเฉพาะตัวก็น่าจะเปรียบเสมือน "หน้าข้อมูลของตนเอง" พื้นหลังหน้าโปรไฟล์เฉพาะตัวที่น่าสนใจสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนและทำให้พวกเขาสนใจที่จะเข้าไปอ่านและแลกเปลี่ยนด้วยมากยิ่งขึ้น การมีพื้นหลังโปรไฟล์เฉพาะตัวไม่ได้เป็นเพียงเพียงแค่เพิ่มความสวยงาม แต่ยังเพิ่มประสบการณ์การใช้งานทางสังคม ทำให้ผู้ใช้แต่ละคนได้มีโอกาสแสดงออกถึงตนเองได้ดีขึ้น
แนวโน้มที่ 2: การออกแบบเฉพาะตัวเพื่อเติมเต็มมูลค่าเชิงอารมณ์ของแต่ละบุคคล
ในยุคสมัยปัจจุบัน บทบาทชีวิตและการทำงานที่มีจังหวะเร็วเป็นเรื่องปกติ ภายใต้แรงกดดันจากการทำงานสูง คนเราต้องเผชิญกับงานที่ซับซ้อนหลากหลาย และรู้สึกว่าเวลาของตนเองถูกกลืนหายไปกับการทำงานเชิงกล วิธีการทำงานเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของเรา แต่ยังสร้างความรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าเบื่อและซ้ำซาก ความรู้สึกผิดหวังนี้ก็ยิ่งถูกขยายใหญ่ขึ้น
ลองนึกภาพว่า ในตอนเช้าคุณเดินเข้าออฟฟิศ รอบด้านเป็นกำแพงที่เย็นชืด แสงไฟในห้องเป็นสีเหลืองสลัว ทุกคนจ้องหน้าจอบนคอมพิวเตอร์โดยไม่มีท่าทีใด ๆ เหมือนแต่ละคนต่างถูกขังอยู่ในโลกของตนเอง บรรยากาศแบบนี้ทำให้รู้สึกท่วมท้น งานกลายเป็นเพียงการทำซ้ำ ๆ กันโดยขาดความคิดสร้างสรรค์และความกระตือรือร้น ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความคิดก็ช้าลงนวัตกรรมเริ่มหายไป ในทางตรงกันข้าม การอยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงาม การสร้างอารมณ์ร่วม และการผ่อนคลายทางจิตใจ จะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
การออกแบบ: ไอคอนเริ่มต้นแอปพลิเคชัน (Launch icons)
แต่ละบริษัทมีสไตล์การตกแต่งและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร ค่านิยม และเป้าหมายของบริษัทนั้น ๆ ไอคอนเปิดใช้งานของ DingTalk เปรียบเหมือนป้ายหน้าสำนักงาน (Corporate signboard) และเป็นสิ่งแรกที่พนักงานรับรู้เมื่อเริ่มวันทำงานใหม่ ตั้งแต่ DingTalk เปิดตัวมา ไอคอนหลักของมันมือจะเป็นสีฟ้า ให้ความรู้สึกมั่นคงและเรียบร้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อความเป็นปัจเจกบุคคลถูกเน้น พวกเราหวังว่าแต่ละบุคคลจะมีจิตวิญญาณของการสร้างสรรค์นวัตกรรมและท้าทายข้อจำกัด โดยเพียงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของไอคอนเดิมเพื่อสร้างความรู้สึกและกำหนดนิยามคำว่า"ความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุดของ DingTalk" เป็นตัวกระตุ้นจิตใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับแต่ละบุคคลนั้นก็ดีพอแล้วไม่เพียงเพิ่มทัศนียภาพที่ผ่อนคลายและน่ายินดีในการทำงาน แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้งานมักจะคลิกใช้งานบ่อยขึ้น ส่งผลดีต่อแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย สำหรับอนาคต DingTalk จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ส่งผลงานออกแบบไอคอนของตนเอง เพื่อขึ้นแสดงบนแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการ ขอเชิญชวนทุกคนร่วมออกแบบและส่งผลงานของคุณ!
เนื้อหาก่อนหน้า: ได้ฤกษ์เปิดตัวเวอร์ชั่นทดลองใช้เฉพาะสำหรับ DingTalk บนระบบปฏิบัติการ HarmonyOS แล้วนะ~
เนื้อหาถัดไป: เดี่ยง เดี่ยง เวอร์ชั่นพิเศษ ป้องกันแบบครบวงจรมากขึ้น อุ่นใจมากขึ้น